Menu
บทความนี้จะอธิบายเรื่องภาษีศุลกากรอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถตามทันเรื่องเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นใจ

ภาษีศุลกากร (Tariff) คืออะไร? ใครเป็นคนจ่าย?

บทความนี้จะอธิบายเรื่องภาษีศุลกากรอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถตามทันเรื่องเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นใจ

Peter Torres 2 days ago 0

เมื่อพูดถึงการค้าระหว่างประเทศหรือการวางนโยบายเศรษฐกิจ คำว่า “ภาษีศุลกากร” มักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง หลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้จากข่าวหรือการอภิปรายทางการเมือง แต่มีไม่กี่คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าภาษีศุลกากรคืออะไร ใครกันแน่ที่ต้องจ่ายภาษีนี้ และมีความเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับมันบ้าง

บทความนี้จะอธิบายเรื่องภาษีศุลกากรอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถตามทันเรื่องเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นใจ

ภาษีศุลกากร (Tariff) คืออะไร?

ภาษีศุลกากร คือ “ภาษี” ที่รัฐบาลเรียกเก็บจาก “สินค้าหรือบริการที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ” ในบางกรณี รัฐบาลอาจเก็บภาษีจากสินค้าส่งออกด้วย แต่พบได้น้อยกว่า

วัตถุประสงค์หลักของภาษีศุลกากร คือ:

  • ปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น
  • สร้างรายได้ให้รัฐบาล
  • ตอบโต้ในกรณีพิพาททางการค้า กับประเทศอื่น
  • กดดันหรือส่งเสริมเป้าหมายทางการเมือง เช่น ป้องกันการค้าที่ไม่เป็นธรรม

รูปแบบของภาษีศุลกากรมีหลายประเภท:

  • ภาษีแบบกำหนดอัตราคงที่ (Specific Tariff) เช่น เรียกเก็บ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัมของแอปเปิ้ลนำเข้า
  • ภาษีตามมูลค่า (Ad Valorem Tariff) เช่น เรียกเก็บ 20% ของราคาขายรองเท้านำเข้า
  • ภาษีแบบผสม (Compound Tariff) ที่ผสมระหว่างสองรูปแบบข้างต้น

โดยสรุปแล้ว ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้เพื่อ ควบคุมการค้า, ปกป้องการจ้างงานในประเทศ, และ สนับสนุนผลประโยชน์ของชาติ

แล้วใครเป็นคนจ่ายภาษีศุลกากร?

มีความเชื่อที่แพร่หลายว่า ประเทศผู้ส่งออก จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบจ่ายภาษีศุลกากร แต่ในความจริงแล้ว ไม่ใช่แบบนั้น

ความจริงคือ:
ผู้นำเข้าในประเทศ — ซึ่งมักเป็นธุรกิจในประเทศของเรา — ต้องเป็นคนจ่ายภาษีศุลกากร

ขั้นตอนโดยสรุปคือ:

  1. บริษัทในประเทศสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตต่างประเทศ
  2. เมื่อสินค้ามาถึงด่านศุลกากร ผู้นำเข้าต้องชำระภาษีศุลกากรก่อนจึงจะสามารถรับสินค้าได้
  3. ผู้นำเข้ามักผลักภาระต้นทุนภาษีนี้ไปยังผู้บริโภค โดยการขึ้นราคาสินค้า

สรุปง่าย ๆ ก็คือ คนที่ต้องจ่ายจริง ๆ คือ “ผู้บริโภค” ผ่านการซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้นนั่นเอง

บางครั้งผู้นำค้าอาจรับภาระต้นทุนไว้เองเพื่อไม่ให้ราคาขายสูงเกินไป แต่ในระยะยาว โดยเฉพาะถ้าภาษีมีอัตราสูงหรือนานหลายปี ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมักจะถูกส่งต่อไปยังผู้ซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ภาษีศุลกากรยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้วย เพราะธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายนี้ก็จะย้อนกลับมาหาผู้บริโภคในที่สุด

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีศุลกากร

เนื่องจากภาษีศุลกากรเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงมีความเข้าใจผิดอยู่มาก เรามาดูกันว่ามีเรื่องไหนบ้างที่คนมักเข้าใจผิด:

ความเชื่อผิด 1: “ภาษีศุลกากรทำร้ายแต่ประเทศต่างชาติ”

แม้ว่าภาษีศุลกากรจะทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขันของต่างชาติ แต่ คนในประเทศผู้ออกภาษีก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

เมื่อสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น:

  • ผู้บริโภคต้อง จ่ายแพงขึ้น สำหรับสินค้าเดิม ๆ
  • ผู้ผลิตในประเทศที่ต้องพึ่งวัตถุดิบนำเข้า มีต้นทุนสูงขึ้น
  • ประเทศผู้ส่งออก อาจตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร ของตัวเอง ส่งผลเสียต่อผู้ส่งออกในประเทศ

ตัวอย่าง:
ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (ปี 2018–2019) เกษตรกรสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ทำให้ยอดขายลดฮวบ

ความเชื่อผิด 2: “ภาษีศุลกากรช่วยปกป้องงานในประเทศได้เสมอ”

ภาษีศุลกากรอาจช่วย รักษางาน ในบางอุตสาหกรรม เช่น เหล็กหรือสิ่งทอ แต่ในอีกด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า ก็ได้รับผลกระทบจนถึงขั้น เลิกจ้างหรือปิดกิจการ

ตัวอย่าง:
การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าอาจช่วยโรงงานผลิตเหล็ก แต่บริษัทผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และการก่อสร้างที่ต้องใช้เหล็กต้นทุนสูงขึ้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

หลายการศึกษาเศรษฐศาสตร์พบว่า บางครั้งการ “รักษางานหนึ่งงาน” ด้วยนโยบายภาษีศุลกากร มีต้นทุนสูงถึง หลายแสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งตำแหน่งงาน

ความเชื่อผิด 3: “ภาษีศุลกากรเพิ่มรายได้รัฐบาลอย่างมหาศาล”

ในอดีต (ศตวรรษที่ 18–19) ภาษีศุลกากรเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล แต่ในปัจจุบัน รายได้รัฐบาลมักมาจาก ภาษีเงินได้ และ ภาษีการบริโภค มากกว่า

แม้ว่าภาษีศุลกากรจะเพิ่มรายได้ระยะสั้น แต่ก็อาจทำให้เศรษฐกิจโดยรวม ชะลอตัว เกิดการจ้างงานน้อยลง รายได้ของประชาชนลดลง และในที่สุด รายได้ภาษีโดยรวมอาจ ลดลงมากกว่าที่เพิ่มจากภาษีศุลกากร

ความเชื่อผิด 4: “สินค้าในประเทศจะถูกลงหลังจากตั้งภาษีศุลกากร”

หลายคนคิดว่า เมื่อสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น สินค้าในประเทศจะต้องปรับราคาถูกลงเพื่อต่อสู้ แต่ในความเป็นจริง สินค้าภายในประเทศมักจะปรับราคาขึ้น ด้วยเช่นกัน

สาเหตุคือ เมื่อคู่แข่งจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ผู้ผลิตในประเทศมี อำนาจในการตั้งราคา มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องลดราคาแข่งขันอีกต่อไป กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นทั้งสำหรับสินค้าในประเทศและสินค้านำเข้า

ภาษีศุลกากรมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ไหม?

แม้ว่าภาษีศุลกากรจะมีข้อเสียหลายอย่าง แต่ก็มีบางกรณีที่ภาษีศุลกากร เป็นประโยชน์ เช่น:

  • การปกป้องอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (Infant Industry): อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่แข็งแกร่ง อาจต้องการเวลาสร้างฐานลูกค้าก่อนถูกแข่งขันจากต่างประเทศ
  • การปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ: อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น เทคโนโลยีการบินหรืออิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องการการสนับสนุนพิเศษ
  • การต่อรองทางการค้า: การตั้งภาษีศุลกากรบางครั้งเป็นกลยุทธ์ในการ กดดันเพื่อให้เกิดการเจรจา หรือต่อสู้กับการทุ่มตลาด (Dumping)

แต่อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายภาษีศุลกากรต้อง ระมัดระวังและมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะถ้าใช้ผิดวิธี อาจสร้างความเสียหายมากกว่าผลดี

ตัวอย่างจริงเกี่ยวกับภาษีศุลกากร

1. สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน (2018–2020)
สหรัฐฯ ตั้งภาษีศุลกากรกับสินค้าจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตอบโต้พฤติกรรมการค้าของจีน จีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกันเช่นกัน ส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานสะดุด

2. การตั้งภาษีกับเหล้าและมอเตอร์ไซค์สหรัฐฯ โดยสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปตั้งภาษีเหล้าเบอร์เบินและมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson เพื่อตอบโต้ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ผลิตอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

3. กฎหมาย Smoot-Hawley (1930)
ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายขึ้นภาษีศุลกากรอย่างหนักบนสินค้านำเข้าเกือบทุกชนิด ผลคือการค้าระหว่างประเทศทรุดตัวลง และทำให้เศรษฐกิจแย่ลงกว่าเดิม


สรุป: ทำไมเราควรเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากร

ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ทรงพลัง แต่ก็มาพร้อมกับ ผลข้างเคียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าที่สูงขึ้น ตัวเลือกของผู้บริโภคลดลง ความเสี่ยงของสงครามการค้า หรือการลดประสิทธิภาพของเศรษฐกิจโดยรวม

และที่สำคัญที่สุด คนที่มักต้องจ่ายค่าภาษีศุลกากรในท้ายที่สุดก็คือ “ผู้บริโภคในประเทศเอง” ไม่ใช่รัฐบาลต่างชาติอย่างที่หลายคนเข้าใจ

การเข้าใจกลไกของภาษีศุลกากรจึงช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น เมื่อพบกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ๆ หรือเหตุการณ์การค้าระหว่างประเทศในอนาคต

– Advertisement –
Written By

– Advertisement –