Menu

ปวดหัวหรือไมเกรนกันแน่? วิธีสังเกตและดูแลตัวเองให้หาย

ไมเกรนคืออะไร ต่างจากอาการปวดหัวปกติยังไง พร้อมวิธีสังเกตและรักษาไมเกรนอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น.

Peter Torres 2 days ago 4

คุณเคยปวดหัวจนต้องหยุดทุกอย่างไหม? หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดหัวแรง ๆ คือ “ไมเกรน” แต่จริง ๆ แล้วไมเกรนไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดา มันคือภาวะทางระบบประสาทที่ซับซ้อน ซึ่งมีสาเหตุเฉพาะและอาการร่วมที่แตกต่างออกไป หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจกระทบต่อ สุขภาพจิต และการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่าที่คิด

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “ไมเกรนต่างจากปวดหัวทั่วไปยังไง?” เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังเป็นไมเกรน และมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้คุณ “หายจากอาการปวดหัวไมเกรน” หรืออย่างน้อยก็ลดความถี่และความรุนแรงของมันลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างระหว่าง “ปวดหัวธรรมดา” กับ “ไมเกรน”

อาการปวดหัวทั่วไป (Tension Headache) มักเกิดจากความเครียด การนอนน้อย หรือใช้สายตานานเกินไป ลักษณะการปวดจะเป็นแบบ “ตื้อ ๆ หนัก ๆ” ทั่วศีรษะหรือบริเวณท้ายทอย ไม่ได้มีอาการอื่นร่วมด้วยมากนัก

ส่วนอาการ ไมเกรน (Migraine) จะมีลักษณะเฉพาะ คือ

  • ปวดหัวข้างเดียว (แต่บางรายอาจปวดทั้งสองข้าง)
  • ปวดแบบตุบ ๆ ตามจังหวะชีพจร
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว หรือไวต่อแสงและเสียง
  • บางคนมีอาการ “ออร่า (Aura)” เช่น เห็นแสงแฟลช หรือมีเส้นซิกแซกในสายตาก่อนเริ่มปวดหัว

ไมเกรนมักเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ โดยอาจปวดนานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงไปจนถึง 3 วัน หากไม่ได้รับการรักษา

สาเหตุของไมเกรนเกิดจากอะไร?

นักวิจัยพบว่าไมเกรนเกี่ยวข้องกับ “ความผิดปกติของสมองและสารเคมีในสมอง” โดยเฉพาะ เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความเจ็บปวด เมื่อระดับเซโรโทนินลดลง หลอดเลือดสมองจะขยายตัวและทำให้เกิดอาการปวด

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีหลายอย่าง เช่น

  • ความเครียดทางร่างกายหรือสุขภาพจิต
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ
  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในผู้หญิงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน
  • การดื่มเหล้า โดยเฉพาะไวน์แดงหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสารกระตุ้นหลอดเลือด
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีสเก่า ช็อกโกแลต คาเฟอีนมากเกินไป
  • อากาศร้อนหรือเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
  • ภาวะหลังติดเชื้อ เช่น หลังจากป่วย โควิด-19 บางคนพบว่าอาการไมเกรนกำเริบง่ายขึ้น เนื่องจากร่างกายและระบบประสาทยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

เราจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นไมเกรน?

มีจุดสังเกตหลายอย่างที่ช่วยให้เรารู้ว่าตัวเองอาจกำลังเผชิญกับไมเกรน ได้แก่

  1. ปวดหัวข้างเดียวและปวดแบบตุบ ๆ
    ลักษณะการปวดนี้แตกต่างจากปวดตื้อ ๆ ของปวดหัวทั่วไป มักจะรู้สึกเหมือนหัวเต้นตามจังหวะหัวใจ
  2. ไวต่อแสงและเสียง
    หลายคนจะรู้สึกอยากอยู่ในห้องมืดเงียบ เพราะแสงและเสียงทำให้อาการแย่ลง
  3. มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
    ระบบประสาทอัตโนมัติถูกรบกวน ทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินอาหาร
  4. อาการเกิดซ้ำ ๆ เป็นรอบ
    หากคุณมีอาการลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อย เช่น เดือนละหลายครั้ง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนหรือไม่
  5. มีสัญญาณเตือน (Aura)
    บางคนอาจเห็นแสงระยิบระยับ มีจุดดำในสายตา หรือรู้สึกชา ๆ ที่ใบหน้าและมือก่อนเริ่มปวดหัว

หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกัน แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเป็นไมเกรนหรือปวดหัวชนิดอื่น เช่น คลัสเตอร์เฮดเอค หรือไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกันแต่ต้องใช้วิธีรักษาต่างกัน

ทำยังไงให้หายปวดหัวไมเกรน?

การรักษาไมเกรนมีหลายแนวทาง ทั้งการใช้ยาและปรับพฤติกรรม ดังนี้

หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น

จดบันทึกว่าแต่ละครั้งที่ปวดเกิดขึ้นหลังจากทำกิจกรรมใด เช่น นอนดึก ดื่มกาแฟมากไป หรือหลังดื่มเหล้า เพื่อหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงในอนาคต

พักผ่อนให้เพียงพอ

ไมเกรนมักเกิดหลังอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนให้ครบ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยลดโอกาสปวดได้มาก

จัดการความเครียด

ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ควรหาเวลาผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพจิต

ปรับพฤติกรรมการกิน

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไนเตรต คาเฟอีนสูง หรืออาหารหมักดองที่มีสารกระตุ้นไมเกรน รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน

ใช้ยาเมื่อจำเป็น

ในกรณีที่ปวดมาก สามารถใช้ยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาใช้ยากลุ่ม Triptans ซึ่งช่วยบรรเทาไมเกรนโดยเฉพาะ

หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และควันบุหรี่สามารถกระตุ้นให้ไมเกรนกำเริบได้ง่าย โดยเฉพาะในคนที่มีร่างกายไวต่อสารเคมีเหล่านี้

ดูแลสุขภาพร่างกายหลังป่วย

ผู้ที่เพิ่งหายจากโรค เช่น โควิด-19 ควรพักฟื้นร่างกายให้เต็มที่ เพราะภาวะร่างกายอ่อนแรงอาจทำให้ไมเกรนเกิดได้ง่ายกว่าเดิม

การดูแลระยะยาวสำหรับผู้ที่เป็นไมเกรนบ่อย

หากคุณเป็นไมเกรนมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน ควรพิจารณา “การรักษาแบบป้องกัน (Preventive Treatment)” แพทย์อาจให้ยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์ ยาต้านซึมเศร้า หรือยากันชักบางชนิดในปริมาณต่ำ เพื่อปรับสมดุลระบบประสาทและลดความถี่ของอาการ

นอกจากนี้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว หรือโยคะ จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดความเครียดและปวดหัวได้

เมื่อไรควรไปพบแพทย์ทันที

หากมีอาการปวดหัวร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรไปโรงพยาบาลโดยด่วน เพราะอาจไม่ใช่ไมเกรนธรรมดา

  • ปวดหัวรุนแรงฉับพลันที่สุดในชีวิต
  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงครึ่งตัว
  • พูดไม่ชัด เห็นภาพซ้อน หรือหมดสติ
  • มีไข้สูง คอแข็ง หรืออาเจียนไม่หยุด

อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงโรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองแตก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ซึ่งต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน

สรุป

ไมเกรนไม่ใช่แค่ “ปวดหัวแรง” แต่เป็นโรคทางระบบประสาทที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การเข้าใจลักษณะอาการ สาเหตุ และปัจจัยกระตุ้น จะช่วยให้สามารถจัดการและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนของร่างกาย เพราะไมเกรนที่ไม่ได้รับการดูแลอาจส่งผลทั้งต่อร่างกายและ สุขภาพจิต ของเราได้ในระยะยาว การปรับวิถีชีวิตให้สมดุล เช่น การนอนให้พอ ลดความเครียด หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า และดูแลสุขภาพหลังจากป่วย โควิด-19 เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตที่สดใส ปลอดจากอาการปวดหัวไมเกรนได้อีกครั้ง

– Advertisement –
Written By

– Advertisement –